DHA จุดเริ่มต้นเพื่อเสริมพัฒนาการและบำรุงสมอง สายตา สำหรับทุกวัย
เพราะการทำงานต่างๆ ของร่างกาย ล้วนเกิดจากสมอง สมองจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงคุณภาพและความฉลาดของแต่ละคน จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ DHA ทำให้กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา
DHA-125 ดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid; DHA) คือ กรดไขมันจำเป็นในกลุ่มโอเมก้า-3 ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้จากการรับประทานอาหารจำพวกปลาทะเลน้ำลึกในเขตหนาว เช่น ปลาทูน่า
DHA มีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและสายตา ตั้งแต่ทารกในครรภ์ไปจนถึงวัยสูงอายุ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าอาหารที่คนส่วนใหญ่บริโภคนั้นมีปริมาณ DHA น้อยลง จนทำให้เกิดปัญหาของสมองและสายตาในวัยต่างๆ
ปัญหาของทารกและเด็กที่ได้รับ DHA ไม่เพียงพอ
- การมองเห็นของทารกลดลง และอาจก่อให้เกิดโรคตาบอดกลางคืนได้
- ระดับ ไอคิว ลดต่ำลง
- เด็กมีปัญหาเป็นโรคสมาธิสั้น และขาดการยับยั้งชั่งใจ
- มีปัญหาการเรียนรู้ช้า ทั้งการเขียนและการอ่าน
- ปัญหาของคนวัยทำงานที่มีระดับของ DHA ในสมองลดต่ำลง
- มีอาการซึมเศร้า
- เครียด และก้าวร้าว
ปัญหาของผู้สูงอายุที่มีระดับของ DHA ในสมองลดต่ำลง
- โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อม
- ความสามารถของสติปัญญาลดลงในวัยสูงอายุ
- จอประสาทตาฝ่อตัวอักเสบ
- ทำไมสมองและสายตาของคนทุกวัย จึงต้องการ DHA
- DHA เสริมสร้างสมองและสายตาของลูกน้อย
ในช่วงตั้งครรภ์ ทารกจะได้รับ DHA ผ่านทางรก DHA จะช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวและลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด และเมื่อถึงระยะที่สมองเจริญเติบโตสูงสุดในช่วงชีวิต คือ 3 เดือนก่อนและหลังคลอด ทารกจะมีความต้องการ DHA ในปริมาณสูง เพื่อนำไปใช้ในการสร้างและพัฒนาสมอง ระบบประสาท และสายตา จนถึงอายุ 3 ปี จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ที่จะมอบสารอาหารที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อลูกน้อย เพื่อเตรียมความพร้อมของลูกน้อย ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆในอนาคต ด้วยเหตุนี้หญิงตั้งครรภ์ระหว่าง 25-35 สัปดาห์ และสตรีที่ให้นมบุตร ควรได้รับ DHA ในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ผลทดสอบทางการแพทย์ ที่ให้หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 5 เดือน ขึ้นไป จนถึงช่วงให้นมบุตร ได้รับ DHA ในปริมาณที่เพียงพอ เมื่อนำเด็กกลุ่มนี้มาทดสอบสติปัญญาทางด้านต่างๆ เมื่ออายุครบ 4 ปี พบว่ามีพัฒนาการทางสมองดีกว่าเด็กที่คุณแม่ไม่ได้รับ DHA ในช่วงตั้งครรภ์และให้นมบุตร
DHA ช่วยป้องกันโรคสมาธิสั้นของเด็กวัยเรียน
เด็กต้องใช้สมองและสายตามากเป็นพิเศษ เพื่อการเรียนรู้ด้านภาษา ฝึกทักษะความคิดต่างๆ เด็กในวัยนี้จึงควรได้รับ DHA ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยบรรเทาความเครียดจากการเรียน ด้วยเหตุนี้นักเรียนในประเทศญี่ปุ่นที่มีการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยสูง นิยมรับประทาน DHA ก่อนสอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความจำและเสริมสมาธิ มากกว่านั้นระดับ DHA ในสมองที่สมดุลยังช่วยป้องกันเด็กให้ห่างไกลจากการเป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder; ADHD) ที่ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมสมาธิและการเคลื่อนไหวของตนเอง จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น ผลการเรียนตกต่ำ ถึงแม้ระดับสติปัญญาจะปกติ แต่จะพบปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น และเพิ่มโอกาสการเกิดสภาพจิตอื่นๆ ตามมาในอนาคตเพราะเนื่องจากระบบการทำงานของร่างกายเด็กในการเปลี่ยนสาร Alpha –linoleic acid ที่เป็นสารตั้งต้น ไปเป็น DHA ได้เพียง 0.2% ของปริมาณที่ได้รับทั้งหมด จึงทำให้พบว่า 40% ของเด็กที่เกิดโรคสมาธิสั้น จะมีปัญหาของการมีระดับ DHA ในเลือดต่ำ ดังนั้นเด็กวัย 1-12 ปี ควรได้รับปริมาณ DHA อย่างเพียงพอประมาณ 20 มิลลิกรัม ต่อ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความสงสัยว่าลูกน้อยมีพัฒนาการที่สมวัยหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากตารางแสดงพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กในช่วงวัย 1 – 3 ขวบ
DHA เสริมความคิดสร้างสรรค์ของวัยทำงาน
วัยนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า (Depression) ที่มีอาการหงุดหงิด ไม่สบายใจ และนอนไม่หลับ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเครียดมากขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากสภาวะความกดดันจากการทำงานหรือปัญหาในครอบครัว และอาจเกิดจากการที่ร่างกายมีระดับ DHA ในสมองต่ำกว่าปกติ การได้รับ DHA อย่างเพียงพอในปริมาณ 300 มิลลิกรัมต่อวัน จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่เพียงแต่ป้องกันโรคซึมเศร้า ยังสามารถช่วยคืนความสดชื่นให้กับสมองที่เครียดและอ่อนล้าจากการใช้ความคิด วิเคราะห์และแก้ปัญหาการทำงานในแต่ละวัน
DHA ป้องกันการเสื่อมของสมองในผู้สูงวัย
อัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมสลายของเซลล์สมอง ซึ่งมักเกิดกับผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการหลงลืม เช่น ลืมชื่อคน ลืมของ ชอบพูดซ้ำๆ บางท่านอาจมีอารมณ์หงุดหงิด จนก้าวร้าวหรือท้อแท้ในชีวิต ซึ่งจากผลการวิจัยในผู้สูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าสภาวะดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่มีระดับ DHA ในสมองลดต่ำลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมองในผู้สูงอายุ จึงควรได้รับ DHA อย่างเพียงพอในปริมาณ 500 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
หลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ DHA จากน้ำมันปลาทูน่า
- ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต ทำให้มั่นใจในการตรวจวิเคราะห์ว่าปราศจากสารปนเปื้อน เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู และเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดโรค เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของทารก เด็ก หญิงตั้งครรภ์ สตรีที่ให้นมบุตร และบุคคลทั่วไป
- สกัดจากปลาทะเลน้ำลึกเขตหนาว จาก ไอซ์แลนด์ ที่อุดมไปด้วยกรดโอเมก้า-3 โดยเฉพาะ DHA ในปริมาณสูง
- เป็น Tuna Oil ประกอบด้วย DHA : EPA สัดส่วน 25:7 เพื่อเน้นคุณประโยชน์ของ DHA ในการช่วยเสริมพัฒนาการของสมองและสายตา
- ผลิตภายใต้มาตรฐานยา ระดับสากล ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก (– GMP ของไทย, – BfArm ของเยอรมัน, – TGA ของออสเตรเลีย) ทำให้มั่นใจในคุณภาพของ DHA ว่าได้ผ่านการคัดสรรและขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคในระยะยาว
DHA ขนาดรับประทานที่เหมาะสม
- เด็กน้ำหนักตัว 3-5 กก. รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน
- สตรีมีครรภ์ (อายุครรภ์ตั้งแต่ 25-35 สัปดาห์) รับประทาน 1-2 แคปซูล /วัน
- สตรีให้นมบุตร รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน
- สำหรับวัยทำงาน รับประทาน 1-2 แคปซูล / วัน
- สำหรับผู้สูงวัย รับประทาน 4-6 แคปซูล / วัน
ความคิดสร้างสรรค์ที่ก่อกำเนิดการพัฒนาทั้งหลายต่างมีจุดกำเนิดจาก DHA แทบทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ควรเลือกน้ำมันปลาทูน่าจากผู้จัดจำหน่ายที่เชื่อถือได้ โดยดูจากมาตรฐานการผลิตยาระดับสากล มีการรับรองจาก BfArM (เยอรมันนี) TGA (ออสเตรเลีย) และ GMP (ประเทศไทย) เป็นสำคัญ เพื่อสมองและสายตาอวัยวะส่วนที่สำคัญ และเป็นต้นทุนของชีวิตจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
cr. การดูแลสุขภาพ เสริมพัฒนาการของสมองด้วย DHA megawecare.co.th